24 มี.ค.63
ในที่สุดเมื่อวานนี้ นายบอริส
จอนห์นสัน นรม.อังกฤษ ได้สั่งใช้มาตรการ Lockdown โดยถ่ายทอดประกาศผ่านโทรทัศน์ “เพื่อปกป้องระบบสาธารณสุข (NHS) และประชาชนอังกฤษ” หลังจากที่รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องการรับมือกับไวรัส
COVID-19 ในขณะที่ประเทศอื่น
เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน ได้สั่งใช้มาตรการ Lockdown ไปก่อนเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตาม มาตรการล่าสุดของ
นรม.อังกฤษ ได้รับกระแสตอบรับที่ดี รวมทั้งจากนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่งผลเป็นปัจจัยบวกให้เงินปอนด์กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง
Technical Review :...
20 มี.ค.63
ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวลือว่า
นรม.อังกฤษ จะสั่งปิดมหานครลอนดอน 15 วัน โดยมีการนำเสนออ้างอิงแหล่งข่าวคนวงในรัฐบาลหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดกลับไม่มีคำสั่งดังกล่าวออกมา และ นรม.อังกฤษ เพียงแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการ
“Social distancing” ต่อไปตามเดิม
พร้อมยืนยันว่าสถานการณ์จะคลี่คลายภายใน 12 สัปดาห์ ซึ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์แผนรับมือโรคระบาดของรัฐบาลอย่างหนัก
เนื่องจากกรุงลอนดอนมีจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อทั้งประเทศ
ทั้งนี้
ร้านอาหาร ผับบาร์ และขนส่งสาธารณะ ในลอนดอนยังเปิดให้บริการตามปกติ ส่งผลให้การติดเชื้อขยายวงกว้างมากขึ้น
ขณะที่พื้นที่แพร่ระบาดอื่น เช่น จีน อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส และสหรัฐฯ มีการบังคับใช้มาตรการปิดเมืองแล้ว
แต่อังกฤษยังยืนยันแนวทางเดิม จนทำให้...
19 มี.ค.63
จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส
COVID19 ต่อวันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บ่งบอกถึงระยะของการแพร่ระบาดที่อยู่ในช่วงรุนแรง
ซึ่งกดดันให้รัฐบาลต้องยกระดับมาตรการรับมือที่จะยิ่งซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจ ขณะนี้เกิดการเทขายหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่องและอาจกล่าวได้ว่าเป็นผลของแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยด้านเทคนิคล้วนๆ
โดยดัชนีความผันผวน (Votality
Index—VIX) ยังคงมีค่าสูงกว่า 75 แต่ก็ยังมีโอกาสปรับฐานขึ้นมาชดเชยผลกระทบทางลบก่อนหน้านี้ได้
ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนประเมินสถานการณ์ใหม่ให้สอดคล้องกับข้อมูลล่าสุด
อย่างไรก็ตาม
ในวันนี้แม้ราคาน้ำมันจะฟื้นตัวกลับมา
แต่ก็ไม่มากพอจะทำให้บรรยากาศตลาดหุ้นออสเตรเลียและเอเชียฟื้นตัวตาม
เช่นเดียวกับหุ้นสหรัฐฯ ที่ปิดลบ 2300 จุด
หลังจากมีการประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินจาก Fed และ ECB โดยมีการลดมาตรฐานของสินทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้
เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับการซื้อขายสินทรัพย์ต่างๆ มากขึ้น และป้องกันเหตุการณ์วิกฤติสินเชื่อ
ทั้งนี้ มาตรการเยียวยาเศรษฐกิจของ ECB ล่าสุด
เน้นหวังผลไปยังกลุ่มเป้าหมายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองสกัดกั้นโรคระบาด
รวมทั้งภาคการเงินซึ่ง ECB ต้องการให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นหลังจากผ่อนปรนข้อจำกัดเรื่องหลักทรัพย์ค้ำประกัน
นอกจากนี้
นายแลร์รี คัดโลว (Larry...
16 มี.ค.63
1.
ธนาคารกลางสหรัฐฯ—Fed
หลังจาก Fed ลดดอกเบี้ยลงจนเหลือ
0% รวมทั้งซื้อสินเชื่อค้ำประกันอสังหาริมทัพย์ (Mortgage-Backed Securities—MBS) เป็นมูลค่า 700,000 ล้านดอลล่าร์
และขยายมาตรการให้สินเชื่อ (เช่น
ลดอัตราเงินสดสำรองจนเหลือศูนย์ และปรับอัตราคิดลดของดอกเบี้ยกู้ยืมลงเหลือ 0.25%) นายเจโรม
เพาเวลล์ (Jerome Powell)
ประธาน Fed ยังได้แถลงชี้แจงถึงความไม่เหมาะสมของการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ
รวมทั้งแจ้งว่าขณะนี้ยังไม่มีนโยบายซื้อสินทรัพย์อื่นๆ
เพิ่มเติม ที่อยู่นอกเหนืออำนาจทางกฎหมายของ Fed อย่างไรก็ดี นายสตีเฟ่น มนูชิน (Stephen
Mnuchin) รมว.คลังสหรัฐฯ
เปิดเผยว่าหากจำเป็นต้องใช้เครื่องมืออื่นมากกว่าที่ Fed มีอำนาจอยู่
ก็จะต้องนำประเด็นเข้าสู่การพิจารณาของสภาคองเกรสต่อไป
12 มี.ค.63
วันนี้ตลาดหุ้นทั้งเอเชียและยุโรปไปเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ
หลังจาก ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศห้ามเดินทางระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก—WHO ได้ยกระดับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เข้าสู่ภาวะ Pandemic (การระบาดระดับโลก) ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคการบริโภค
และทำให้การเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังจากนี้มีความเป็นไปได้มากขึ้น
ทั้งนี้ นางคริสทีน ลาการ์ด (Christine Lagarde) ประธานธนาคารกลางแห่งสหภาพยุโรป—ECB ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ว่า หาก ECB ยังไม่ดำเนินการใดๆ
ให้ทันต่อเวลา ยุโรปก็อาจต้องเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนในปี ค.ศ.2008 ดังนั้น จึงมีการคาดการณ์ออกมาว่า ECB จะประกาศใช้มาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจในวันนี้
โดยเฉพาะการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
10 มี.ค.63
วันนี้ตลาดหุ้นเอเชียและยุโรปฟื้นตัว
รวมทั้งผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นจากจุดต่ำสุด อันเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายชุดที่ออกมาก่อนหน้านี้
ประกอบกับปฏิกิริยาของเศรษฐกิจโลกต่อเหตุการณ์ไวรัส COVID-19
โดยตลาดหุ้นเอเชียวันนี้ปิดบวกเฉลี่ยกว่า
2% ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกราวๆ 3% สวนทางกับน้ำมันที่แม้จะปรับฐานขึ้นมาได้สูงสุดถึง 6% แต่ก็กลับไปเป็นแนวโน้มขาลงตามเดิม เนื่องจากบริษัทปิโตรเลียม Rosneft ของรัสเซีย ประกาศว่าจะเพิ่มกำลังการผลิต 3,000 บาร์เรล หลังสิ้นสุดข้อตกลงของกลุ่ม OPEC+ ในเดือน เม.ย.นี้ ส่งผลให้เกิดภาพความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับ
OPEC ที่ไม่น่าจะกลับมาร่วมโต๊ะเจรจาได้อีก และเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า
จากความไม่มีเสถียรภาพของกลุ่มผู้ผลิต
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10...
4 มี.ค.63
เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจาก
COVID-19 ส่งผลให้ล่าสุด Fed ประกาศว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก
0.5% ในเร็วๆ นี้ โดยที่ไม่ได้เป็นการแถลงจากที่ประชุม
FOMC (คณะกรรมการนโยบายการเงินของ Fed) ซึ่งกำลังจะจัดขึ้นในเดือน
มี.ค. ซึ่งการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยโดยไม่ผ่าน FOMC เช่นนี้เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อปี 51
นาย Jerome Powell ประธาน Fed เปิดเผยว่าการตัดสินใจดังกล่าวเป็นไปเพื่อรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดที่ยังคงมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
ทำให้ความเสี่ยงในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจสูงขึ้นตามไปด้วย จึงจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาระดับการจ้างงานและเสถียรภาพของราคา
นอกจากนี้ ประธาน Fed ยังให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญความไม่แน่นอนสูงมาก และคณะกรรมการ
FOMC ได้เห็นชอบร่วมกันที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ
ทองคำ
ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงเปิดตลาด หลังจากที่มีการเทขายในปลายสัปดาห์ที่แล้ว
เพราะการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่รุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ทรัพย์สินความเสี่ยงต่ำ
(Safe haven asset) ยังเป็นที่ต้องการต่อเนื่องตั้งแต่เดือน
ก.พ. แม้ว่าจะเกิดการเทขายออกมาก่อนหน้านี้
นอกจากทองคำแล้วเงินเยนก็เป็นทรัพย์สินที่นักลงทุนต้องการถือครองเพื่อประกันความเสี่ยง
สวนทางกับสถานการณ์ในตอนแรกของการแพร่ระบาดที่ทำให้เงินเยนเป็นขาลง แต่ปัจจุบันมีปริมาณเข้าซื้อกลับมาอย่างรวดเร็วจนทำให้เงินเยนแข็งค่า ในขณะที่เงินดอลล่าร์ฯ หุ้นสหรัฐฯ
และดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ กำลังอยู่ในภาวะถดถอย
นอกจากนี้ Fed และ BOJ ยังส่งสัญญาณว่าอาจมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินในเร็วๆ
นี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากไวรัส COVID-19 ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงก็จะยิ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำในระยะกลาง
แต่ขณะเดียวกันก็จะส่งผลให้การซื้อขายรายวันมีความเสี่ยงสูงขึ้น เพราะราคาจะมีความผันผวนไปตามข่าวสารเรื่องการแพร่ระบาด
ที่มีความเคลื่อนไหวใหม่ๆ...
แนวโน้มเด่นของสัปดาห์นี้ :
1) ดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนค่า
สกุลเงิน
USD อ่อนค่าลง เพราะผลกระทบจากเหตุไวรัส COVID-19 แพร่ระบาด ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดว่า Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยลงอีก
0.25% ในการประชุมที่จะมีขึ้นในเดือน
เม.ย.63 หรืออาจรวมไปถึงการประชุมอีก 2 ครั้งในช่วงปลายปีนี้ด้วย
ถ้าหากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัวต่อไป
2) ไวรัส COVID-19 แพร่ระบาดรุนแรงต่อเนื่อง
แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในจีนจะลดลง แต่กลับมีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างมากขึ้นนอกประเทศจีน
และได้ลุกลามไปทั่วถึงทุกทวีป...
27 ก.พ.63
เงินปอนด์อ่อนค่าลงทำจุดต่ำสุดในรอบปี
63 หลังจากเกิดความตึงเครียดในกรณีข้อตกลงระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรป
(EU) ซึ่งมีกำหนดเจรจากันในวันจันทร์ที่จะถึงนี้
(2 ก.พ.63) แต่ดูเหมือนว่าประเด็นข้อเสนอของทั้งสองฝ่ายยังมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก
แม้จะเคยประกาศว่าต้องการบรรลุความเห็นชอบร่วมกัน
ทั้งนี้ นายไมเคิล โกฟ (Michael Gove) เลขาธิการคณะรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ยืนยันต่อรัฐสภาว่ารัฐบาลต้องการ “ความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุม” (หรือ comprehensive free trade agreement) ในแนวทางที่จะไม่ทำให้อังกฤษสูญเสียอธิปไตย ขณะที่ฝ่าย EU มีเงื่อนไขว่าอังกฤษต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของ EU ในเรื่องความช่วยเหลือจากรัฐ สิทธิแรงงาน และประเด็นอื่นๆ รวมทั้งต้องรายงานความคืบหน้าของการดำเนินการต่อสู้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้ EU ทราบด้วย...