5 พ.ค.63
GBP/USD มีปริมาณเทขายหนาแน่นขึ้น หลังจากไม่สามารถแข็งค่าไปทดสอบระดับ 1.2650 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเดือน เม.ย. อีกทั้งได้รับปัจจัยลบจากการที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะขอขยายมูลค่าการซื้อพันธบัตรรัฐบาล เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการลงทุน และยังไม่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายการเงินในเดือน พ.ค.
อนึ่ง ผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ยังทำให้ภาคการค้าปลีกและการใช้จ่ายของครัวเรือนหดตัวลง ทำให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณมากขึ้นในการเยียวยาความเสียหาย โดยจำเป็นต้องผ่อนคลายวินัยทางการคลังเพื่อให้สามารถเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งจะมีผลให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม มาตรการอุดหนุนของ BOE ก็มีประโยชน์มาก เพราะหากรัฐบาลไม่เข้ามามีบทบาทเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินในตลาด ก็อาจทำให้เกิดการเทขายพันธบัตรเมื่อมีสัญญาณการฟื้นตัวของอุปทานในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้น และก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการดำเนินนโยบายการคลัง
ในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา BOE ได้ประกาศใช้นโยบาย QE มูลค่า 2 แสนล้านดอลล่าร์ฯ ไปจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย.63 ขณะที่ยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์ COVID-19 จะสิ้นสุดลงเมื่อไร ดังนั้น จึงไม่มีความแน่นอนว่ารัฐบาลอังกฤษจะเปลี่ยนแปลงมาตรการเผชิญเหตุอย่างไรต่อไป แต่หากเร็วๆ นี้ BOE ยังไม่ขยายวงเงินสำหรับ QE ก็อาจส่งผลให้ตลาดพันธบัตรซบเซาและมีเงินหมุนเวียนน้อยลงในอนาคต
อย่างไรก็ดี การขยายวงเงิน QE แม้จะช่วยทำให้นักลงทุนและรัฐบาลมีต้นทุนในการกู้ยืมเงินต่ำลง แต่ก็จะส่งผลกระทบให้เงินปอนด์อ่อนค่าตามมา นอกจากนี้ ยังมีประเด็น Brexit ที่เป็นปัจจัยที่กดดันค่าเงินปอนด์ โดยอังกฤษและ EU ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในประเด็นการอนุญาตให้สมาชิก EU เข้ามาทำประมงในน่านน้ำอังกฤษ ซึ่งหากยังไม่ได้ข้อสรุปได้ในเดือน มิ.ย. นี้ ก็อาจทำให้อังกฤษต้องออกจาก EU แบบ No deal ปัจจุบัน จำนวนผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ในอังกฤษยังสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก และมีแนวโน้มที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นเกิน 27,000 คน เนื่องจากอังกฤษบังคับใช้มาตรการจำกัดการแพร่ระบาดช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป ดังนั้น อังกฤษจึงอาจจะต้องยกเลิกมาตรการ quarantine ช้ากว่าประเทศอื่นด้วย โดยก่อนหน้านี้ รมว.สาธารณสุขอังกฤษ เคยกล่าวว่าอาจคงมาตรการ quarantine ไว้จนถึงสิ้นปี 63
