29 ก.ย.63
วันนี้การดีเบตครั้งแรกของผู้ชิงตำแหน่ง ปธน.สหรัฐฯ เป็นข่าวสารที่ได้รับความสนใจ เพราะคาดว่าจะต้องมีการกล่าวถึงนโยบายการค้าต่างประเทศ การคลัง และการลงทุน โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้า และการถอนตัวจากความร่วมมือระดับทวิภาคีและพหุภาคี เช่น NAFTA และ TPP เป็นต้น รวมไปถึงแนวทางการใช้จ่ายและการก่อหนี้ของรัฐบาล
ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์ว่าสหรัฐฯ จะเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายอย่างมีนัยสำคัญได้ก็ต่อเมื่อขั้วการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถกุมเสียงเบ็ดเสร็จทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา แต่สถานการณ์ปัจจุบันนั้น พรรคเดโมแครตควบคุมเสียง ส.ส. ในขณะที่พรรครีพับลิกันของ ปธน.ทรัมป์ ควบคุมเสียง ส.ว. จึงทำให้เกิดความขัดแย้งในการอนุมัติกฎหมาย ประกอบกับปัจจัยเสริมจากพฤติการณ์ของนายทรัมป์ ที่มักจะดำเนินการต่างๆ โดยใช้อำนาจพิเศษของ ปธน. อยู่บ่อยครั้ง
สำหรับโจ ไบเดน ขณะนี้มีคะแนนนิยมนำหน้า ปธน.ทรัมป์ อยู่ราวๆ 5-10% โดยนโยบายเศรษฐกิจของไบเดนมีแนวทางจะเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้เกิดการจ้างงานอย่างเต็มที่ แต่ก็จะมีผลข้างเคียงคือระดับหนี้สาธารณะซึ่งจะพุ่งสูงตามไปด้วย ส่วนนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์นั้นมีความเข้มงวดมากกว่า (แต่ก็หมายถึงจะมีระดับการก่อหนี้ที่ช้ากว่า) อีกทั้งจะยังเดินหน้าทำสงครามการค้าต่อไป
ดังนั้น หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งอีกสมัย ก็คาดว่าจะส่งผลให้ดอลล่าร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น แต่ในทางตรงข้ามหากไบเดนชนะการเลือกตั้งและเปลี่ยนทิศทางนโยบายการค้าเป็นแบบเสรี ก็อาจส่งผลให้ดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง
ส่วนการเปิดเผยข้อมูลดัชนีผู้บริโภคของเยอรมนีในวันนี้ จะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการคาดการณ์แนวโน้มของ ECB ว่าจะผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปหรือไม่ หลังจากที่เมื่อวานนี้ผู้ว่าการ ECB ประกาศว่าพร้อมจะออกสินเชื่อเยียวยาเศรษฐกิจเพิ่มเติมหากมีความจำเป็น รวมทั้งยอมรับว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินยูโรจะมีผลต่อการพยากรณ์เงินเฟ้อในระยะกลาง (ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินนโยบายของ ECB ด้วย)
นอกจากนี้ การเจรจาดีล Brexit ที่สถานการณ์ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ได้ส่งผลเป็นปัจจัยลบต่อเงินปอนด์แม้ว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะมีการฟื้นตัวดีขึ้น ดังนั้น ในระยะอันใกล้นี้จึงคาดหมายได้ว่า GBP/EUR และ GBP/USD น่าจะมีแนวโน้มเป็นขาลง
เปิดบัญชีเทรดกับ Tickmill https://secure.tickmill.com/users/register